วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556

โครงสร้างโปรแกรมภาษา

โครงสร้างโปรแกรมภาษา
  (1.) โครงสร้างโปรแกรมภาษา  Pascal 
        Pascal  เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ชั้นสูงที่พัฒนาขึ้นโดย Niklaus Wirth และได้ตั้งชื่อว่าปาสคาล (Pascal) เพื่อให้เกียรติแก่นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ชื่อ Blaise Pascal ภาษาปาสคาล พัฒนามาจากภาษา Algol โดยพัฒนาให้เป็นภาษาสำหรับฝึกหัดเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ภาษาปาสคาลจะมีลักษณะเป็นภาษาคอมพิวเตอร์แบบประมวลความหรือคอมไพเลอร์ (Compiler) เมื่อเทียบกับภาษาคอมพิวเตอร์ชั้นสูงอื่น ๆ จะพบว่าภาษาปาสคาลเป็นภาษาที่มีการวางระบบและจัดรูปแบบที่มีโครงสร้างแน่นอนตายตัว จึงทำให้ภาษาปาสคาลเป็นภาษาที่เหมาะสำหรับการเขียนโปรแกรมโครงสร้าง (Structured Program) มากกว่าภาษาอื่น ๆ ที่ใช้กันอยู่จึงทำให้ได้รับความนิยมและนำมาประยุกต์ใช้งานต่าง ๆ อย่างแพร่หลาย                               

(2)โครงสร้างของโปรแกรมภาษาซีแบ่งออกเป็น 3 ส่วน
1. ส่วนหัวของโปรแกรม
ส่วน หัวของโปรแกรมนี้เรียกว่า Preprocessing Directive ใช้ระบุเพื่อบอกให้คอมไพเลอร์กระทำการ ใด ๆ ก่อนการแปลผลโปรแกรม ในที่นี่คำสั่ง #include <stdio.h> ใช้บอกกับคอมไพเลอร์ให้นำเฮดเดอร์ไฟล์ที่ระบุ คือ stdio.h เข้าร่วมในการแปลโปรแกรมด้วย โดยการกำหนด preprocessing directives นี้จะต้องขึ้นต้นด้วยเครื่องหมาย # เสมอ

คำสั่งที่ใช้ระบุให้คอมไพเลอร์นำเฮดเดอร์ไฟล์เข้าร่วมในการแปลโปรแกรม สามารถเขียนได้ 2 รูปแบบ คือ

- #include <ชื่อเฮดเดอร์ไฟล์> คอมไพเลอร์จะทำการค้นหาเฮดเดอร์ไฟล์ที่ระบุจากไดเรกทอรีที่ใช้สำหรับเก็บเฮ ดเดอร์ไฟล์โดยเฉพาะ (ปกติคือไดเรกทอรีชื่อ include)

- #include “ชื่อเฮดเดอร์ไฟล์คอมไพเลอร์จะทำการค้นหาเฮดเดอร์ไฟที่ระบุ จากไดเร็คทอรีเดียวกันกับไฟล์ source code นั้น แต้ถ้าไม่พบก็จะไปค้นหาไดเร็คทอรีที่ใช้เก็บเฮดเดอร์ไฟล์



2. ส่วนของฟังก์ชั่นหลัก

ฟังก์ชั่นหลักของภาษาซี คือ ฟังก์ชั่น main() ซึ่งโปรแกรมภาษาซีทุกโปรแกรมจะต้องมีฟังก์ชั่นนี้อยู่ในโปรแกรมเสมอ จะเห็นได้จากชื่อฟังก์ชั่นคือ main แปลว่า หลักดังนั้น การเขียนโปรแกรมภาษซีจึงขาดฟังก์ชั่นนี้ไปไม่ได้ โดยขอบเขตของฟังก์ชั่นจะถูกกำหนดด้วยเครื่องหมาย { และ } กล่าวคือ การทำงานของฟังก์ชั่นจะเริ่มต้นที่เครื่องหมาย { และจะสิ้นสุดที่เครื่องหมาย } ฟังก์ชั่น main() สามารถเขียนในรูปแบบของ void main(void) ก็ได้ มีความหมายเหมือนกัน คือ หมายความว่า ฟังก์ชั่น main() จะไม่มีอาร์กิวเมนต์ (argument) คือไม่มีการรับค่าใด ๆ เข้ามาประมวลผลภายในฟังก์ชั่น และจะไม่มีการคืนค่าใด ๆ กลับออกไปจากฟังก์ชั่นด้วย

3. ส่วนรายละเอียดของโปรแกรม
เป็นส่วนของการเขียนคำสั่ง เพื่อให้โปรแกรมทำงานตามที่ได้ออกแบบไว้
คอมเมนต์ในภาษาซี
คอมเมนต์ (comment) คือส่วนที่เป็นหมายเหตุของโปรแกรม มีไว้เพื่อให้ผู้เขียนโปรแกรมใส่ข้อความอธิบายกำกับลงไปใน source code ซึ่งคอมไพเลอร์จะข้ามาการแปลผลในส่วนที่เป็นคอมเมนต์นี้ คอมเมนต์ในภาษาซีมี 2 แบบคือ
 คอมเมนต์แบบบรรทัดเดียว ใช้เครื่องหมาย //
 คอมเมนต์แบบหลายบรรทัด ใช้เครื่องหมาย /* และ */
  (3.) โครงสร้างโปรแกรมภาษา   Basic 
     Basic  เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ (Programming Language) ที่พัฒนาโดยบริษัทไมโครซอฟท์ ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่สร้างระบบปฏิบัติการ Windows 95/98 และ Windows NT ที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน โดยตัวภาษาเองมีรากฐานมาจากภาษา Basic ซึ่งย่อมาจาก Beginner’s All Purpose Symbolic Instruction ถ้าแปลให้ได้ตามความหมายก็คือ ชุดคำสั่งหรือภาษาคอมพิวเตอร์สำหรับผู้เริ่มต้น”  ภาษา Basic  มีจุดเด่นคือผู้ที่ไม่มีพื้นฐานเรื่องการเขียนโปรแกรมเลขก็สามารถเรียนรู้ และนำไปใช้งานได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว เมื่อเทียบกับการเรียนภาษาคอมพิวเตอร์อื่นๆ เช่น ภาษาซี (C). ปาสคาส (Pascal). ฟอร์แทรน (Fortian) หรือ แอสเชมบลี (Assembler)

              ไมโครซอฟท์ที่ได้พัฒนาโปรแกรมภาษา Basic มานานนับสิบปี ตั้งแต่ภาษา MBASIC (Microsoft Basic). BASICA (Basic Advanced): GWBASIC และ QuickBasic ซึ่งได้ติดตั้งมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Ms DOS ในที่สุดโดยใช้ชื่อว่า QBASIC โดยแต่ละเวอร์ชันที่ออกมานั้นได้มีการพัฒนาและเพิ่มเติมคำสั่งต่างๆเข้าไป โดยตลอด ในอดีตโปรแกรมภาษาเหล่านี้ล้วนทำงานใน Text Mode คือเป็นตัวอักษรล้วนๆ ไม่มีภาพกราฟิกสวยงามแบบระบบ Windows อย่างในปัจจุบัน จนกระทั่งเมื่อระบบปฏิบัติการ Windows ได้รับความนิยมอย่างสูงและเข้ามาแทนที่ DOS ไมโครซอฟท์ก็เล็งเห็นว่าโปรแกรมภาษาใน Text Mode นั้นคงถึงกาลที่หมดสมัย จึงได้พัฒนาปรับปรุงโปรแกรมภาษา Basic ของตนออกมาใหม่เพื่อสนับสนุนการทำงานในระบบ Windows ทำให้ Visual Basic ถือกำเนิดขึ้นมาตั้งแต่บัดนั้น


                  Visual Basic เวอร์ชันแรกคือเวอร์ชัน 1.0 ออกสู่สายตาประชาชนตั้งแต่ปี 1991 โดย        ในช่วงแรกนั้นยังไม่มีความสามารถต่างจากภาษา GBASIC มากนัก แต่จะเน้นเรื่องเครื่องมือที่ช่วยในการเขียนโปรแกรมวินโดว์ซึ่งปรากฏว่า Visual Basic ได้รับความนิยมและประความสำเร็จเป็นอย่างดีไมโครซอฟท์จึงพัฒนา Visual Basic ให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในด้านประสิทธิภาพ ความสามารถ และเครื่องมือต่างๆเช่น เครื่องมือตรวจสอบแก้ไขโปรแกรม (debugger) สภาพแวดล้อมของการพัฒนาโปรแกรม การเขียนโปรแกรมแบบหลายวินโดว์ย่อย (MDI) และอื่นๆ อีกมากมาย

                 สำหรับ Visual Basic ในปัจจุบันคือ Visual Basic 2008  ซึ่งออกมาในปี 2008 ได้เพิ่มความสามารถ   ในการเขียนโปรแกรมติดต่อกับเครือข่ายอินเตอร์เน็ต การเชื่อมต่อกับระบบฐานข้อมูล รวมทั้งปรับปรุงเครื่องมือและการเขียนโปรแกรมซึ่งวัตถุ (Object Oriented Programming) ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นพร้อมทั้งเพิ่มเครื่องมือต่างๆอีกมากมายที่ทำให้ใช้งาย และสะดวกขึ้นกว่าเดิม โดยเราจะค่อยๆมาเรียนรู้ส่วนประกอบและเครื่องมือต่างๆอีกมากมายที่ทำให้ใช้ ง่ายและสะดวกขึ้นกว่าเดิม
         (4.) โครงสร้างโปรแกรมภาษา Assembly    
ภาษาแอสเซมบลี (อังกฤษ: Assembly Language) หมายถึง ภาษาที่ใช้ในการเขียนโปรแกรมภาษาหนึ่งซึ่งจะทำงานโดยขึ้นกับรุ่นของไมโครโพรเซสเซอร์ หรือ "หน่วยประมวลผล" (CPU) ของเครื่องคอมพิวเตอร์
การใช้ภาษาแอสเซมบลีจำเป็นต้องผ่านการแปลภาษาด้วยคอมไพเลอร์เฉพาะเรียกว่า แอสเซมเบลอร์ (assembler) ให้อยู่ในรูปของรหัสคำสั่งก่อน (เช่น .OBJ) โดยปกติ ภาษานี้ค่อนข้างมีความยุ่งยากในการใช้งาน และการเขียนโปรแกรมเป็นจำนวนบรรทัดมากมากกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้ภาษาระดับสูง เช่น ภาษา C หรือภาษา BASIC แต่จะทำให้ได้ผลลัพธ์การทำงานของโปรแกรมเร็วกว่า และขนาดของตัวโปรแกรมมีขนาดเนื้อที่น้อยกว่าโปรแกรมที่สร้างจากภาษาอื่นมาก จึงนิยมใช้ภาษานี้เมื่อต้องการประหยัดเวลาทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ และเพิ่มประสิทธิภาพของโปรแกรม
เนื่องจากตัวคำสั่งภายในภาษาอ้างอิงเฉพาะกับรุ่นของหน่วยประมวลผล ดังนั้นถ้ามีการเปลี่ยนแปลงไปใช้กับหน่วยประมวลผลอื่นหรือระบบอื่น (เช่น หน่วยประมวลผล x86 ไม่เหมือนกับ z80) จะต้องมีการปรับแก้ตัวคำสั่งภายในซึ่งบางครั้งอาจไม่สามารถปรับปรุงแก้ไขได้อย่างสมบูรณ์

(5.)โครงสร้างโปรแกรม ภาษา Java (Java Structure)

1. เครื่องหมาย ในการควบคุม Structure
1.1 Comment คือข้อความที่แทรกเข้าไปในโปรแกรม แต่ไม่มีผลต่อการทำงานของโปรแกรม เช่นในกรณีที่เราต้องการอธิบาย Source code ไว้ใน โปรแกรม วิธีการคือ
- comment ทีละ บรรทัด ใช้เครื่องหมาย // ตามด้วยข้อความที่ต้องการ comment เช่น
//comment comment
- comment แบบครอบทั้งข้อความ ใช้เครื่องหมาย /* ข้อความที่ต้องการ comment */ เช่น
/*Comment  Comment */
1.2 Keyword คือคำที่ถูกกำหนดไว้ใช้เองแล้วในภาษา Java ไม่สามารถนำมาใช้ในการตั้งชื่อภายใน โปรแกรมได้ ตัวอย่างเช่น class,boolean,char เป็นต้น

1.3 Identifiers คือชื่อที่ผู้เขียนตั้งขึ้นมา เพื่อใช้แทนอะไรก็ได้ไม่ว่าจะเป็น method ,ตัวแปร หรือ class ชื่อที่ถูกต้องควรประกอบด้วย ตัวอักษร ,ตัวเลข ,_,$ และจะต้องขึ้นต้นด้วย ตัวอักษรเท่านั้น

1.4 Separators คือ อักษร หรือ เครื่องหมายที่ใช้แบ่งแยกคำในภาษา มีดังต่อไปนี้
- เครื่องหมาย () ใช้สำหรับ
1. ต่อท้ายชื่อ method ไว้ให้ใส่ parameter เช่น private void hello( );
2. ระบุเงื่อนไขของ if ,while,for ,do  เช่น if ( i=0 )
3. ระบุชื่อชนิดข้อมูลในการ ทำ casting  เช่น String a=( String )x;
- เครื่องหมาย{ }ใช้สำหรับ

กำหนดขอบเขตของ method แล class เช่น class A{}
Private void hello(){} 
2. กำหนดค่าเริ่มต้นให้ กับตัวแปร Array เช่น String a[]={"A","B","C"};
- เครื่องหมาย [ ] ใช้สำหรับ
1. กำหนดตัวแปรแบบ Array เช่น String a[ ];
2. กำหนดค่า index ของตัวแปร array เช่น a[ 0 ]=10;
- เครื่องหมาย ; ใช้เพื่อปิดประโยค เช่น String a ;
- เครื่องหมาย , ใช้สำหรับ
1. แยกชื่อตัวแปรในประโยคเช่น String a , b , c;
- เครื่อง หมาย . ใช้สำหรับ
1. แยกชื่อ package,subpackage และชื่อ class เช่น package com.test.Test1;
2. ใช้เพื่อเรียกใช้ ตัวแปร หรือ method ของ Object เช่น object.hello();
 (6.)โครงสร้างโปรแกรม ภาษา COBOL

 ภาษาโคบอล เป็นภาษาระดับสูงที่ออกแบบมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1960 โดยสถาบันมาตรฐานแห่งสหรัฐอเมริกากับบริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์หลายแห่ง และได?มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจากมาตรฐานของภาษาโคบอลในปี 1968 กำหนดโดย The American National Standard Institute และในปี 1974 ได?ออกมาตรฐานที่เรียกว่า ANSI - COBOL ต่อมาเป็น COBOL 85 ภาษาโคบอลเป็นภาษาที่ออกแบบให้ใช้?กับงานทางธุรกิจได?เป็นอย่างดี สำหรับการประมวลผลแฟ้มข้อมูลขนาดใหญ่? การคำนวณทางธุรกิจเช่นการจัดเก็บ เรียกใช้? และประมวลผลทางด้านบัญชี ตลอดจนทำงานด้านการควบคุมสินค้าคงคลัง การรับและจ่ายเงิน เป็นต้น
          คำสั่งของภาษา COBOL จะคล้ายกับภาษาอังกฤษทำให้สามารถอ่านและเขียนโปรแกรม ได?ไม?ยากนัก ในยุคแรก ๆ ภาษา COBOL จะได?รับความนิยมบนเครื่องระดับเมนเฟรม แต่ปัจจุบันนี้จะ มีตัวแปลภาษา COBOL ที่ใช้บนเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ด้วย รวมทั้งมีภาษา COBOL ที่ได?รับการ ออกแบบตามแนวทางเชิงวัตถุ ( Object Oriented) เรียกว่า Visual COBOL ซึ่งจะช่วยให้การโปรแกรมสามารถทำได?ง่ายขึ้น และสามารถนำโปรแกรมที่เขียนไว้มาใช้ในการพัฒนางานอื่น ๆ อีก
          ตัวอย่างการเขียนโปรแกรมด้วยภาษา COBOL
                    IF SALES-AMOUNT IS GREATER THAN SALES-QUOTA
                    COMPUTE COMMISSION = MAX-RATE * SALES - AMOUNT
                    ELSE
                    COMPUTE COMMISSION = MIN-RATE * SALES - AMOUNT

วันพฤหัสบดีที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ระบบเลขฐาน


ข้อที่1  ตารางเลขฐาน



ข้อที่2      เลขฐานอื่นๆเป็นฐานสิบ

111100101=485
2fbc16   =12,220
2868     = 198

ข้อที่3      เลขฐานสิบเป็นฐานอื่นๆ

25=110012
25=318
25=1916

วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ใบงาน9


ใบงานที่ 9
โครงสร้างระบบคอมพิวเตอร์ และโครงสร้างของระบบปฏิบัติการ

1.การขัดจังหวะ หรือการอินเตอร์รัปต์ หมายถึงอะไร จงอธิบาย

2.จงเปรียบเทียบการอินเตอร์รัปต์ กับการดำเนินชีวิตของมนุษย์โดยทั่วไป ว่ามีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร
     =การติดต่อเพื่อรับส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ก็เหมือนกันกับการดำรงชีวิตของมนุษย์ในแต่ละวัน มนุษย์จะติดต่อสื่อสารกันในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น ติดต่อกันเพื่อทำการค้าขาย พูดคุยกัน อย่างนี้เป็นต้น

3.สาเหตุที่การป้องกันฮาร์ดแวร์ มีบทบาทสำคัญต่อระบบปฏิบัติการที่รองรับหลายๆ งาน อยากทราบว่าเป็นเพราะอะไร จงอธิบาย
=เพื่อป้องกันการเรียกใช้อุปกรณ์รับ-ส่งข้อมูลแบบผิด ๆ หรืออ้างอิงตำแหน่งในหน่วยความจำที่อยู่ในส่วนของระบบปฏิบัติการ หรือไม่คืน การควบคุมซีพียูให้ระบบซึ่งมีการกำหนดว่าคำสั่งเรียกใช้อุปกรณ์รับ-ส่งข้อมูลเป็นคำสั่งสงวน (Privileged Instruction) ผู้ใช้ไม่สามารถเรียกใช้อุปกรณ์เองได้ ต้องให้ระบบปฏิบัติการเป็นผู้จัดการให้

4.จงเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างโหมดการทำงานของผู้ใช้ กับโหมดการทำงานของระบบมาให้พอเข้าใจ
=ผู้ใช้ก็จะทำงานเหมือนกับคอมพิวเตอร์ เราจะรับข้อมูลจาก ตา หู จมูก ปาก แล้วก็สมองจะทำการประมวลผลสิ่งที่เราดู ได้ยิน ได้กลิ่น หรือรับรส แล้วก็จะแสดงจากทางอาการหรือคำพูด ก็เหมือนคอมพิวเตอร์ที่รับข้อมูลจากเมาส์ คีย์บอร์ด แล้ว CPU ก็ทำการประมวลผล จากนั้นก็แสดงผลในรูปของเสียงหรือภาพ

5.ระบบปฏิบัติการจะมีการป้องกันอินพุต และเอาท์พุตอย่างไร จงอธิบาย
     =กลไกในการอ้างอิงหน่วยความจำหลัก ป้องกันกระบวนการให้ใช้หน่วยความจำหลักได้แต่ในส่วนของกระบวนการนั้นเท่านั้น เช่น การไม่อนุญาตให้ผู้ใช้ระบบทำการรับส่งข้อมูลเองโดยตรง เพื่อป้องกันความผิดพลาดในการใช้งานของอุปกรณ์รับส่งข้อมูล

6.ระบบปฏิบัติการจะมีการป้องกันหน่วยความจำอย่างไร จงอธิบาย
     =กลไกในการอ้างอิงหน่วยความจำหลัก ป้องกันกระบวนการให้ใช้หน่วยความจำหลักได้แต่ในส่วนของกระบวนการนั้นเท่านั้น

7.ระบบปฏิบัติการจะมีการป้องกันซีพียูอย่างไร จงอธิบาย
=ระบบต้องมีการป้องกัน ความผิดพลาดที่เกิดจากกระบวนการหนึ่งไปกระทบอีกกระบวนการหนึ่ง โดยสร้างกลไกบางอย่างเพื่อป้องกันแฟ้มข้อมูล, หน่วยความจำส่วนหนึ่งหรือหน่วยประมวลผลกลาง




8.โครงสร้างของระบบปฏิบัติการประกอบด้วยกี่ส่วน อะไรบ้าง
=ระบบปฏิบัติการประกอบด้วย 2 ส่วน คือ
1. เคอร์เนล (Kernel) หมายถึง ส่วนกลางของระบบปฏิบัติการ ซึ่งเป็นส่วนแรกที่ถูกเรียกมาใช้งาน และจะฝังตัวอยู่ในหน่วยความจำหลักของระบบ ดังนั้นเคอร์เนลจึงต้องมีขนาดเล็ก โดยเคอร์เนลจะมีหน้าที่ในการติดต่อ และควบคุมการทำงานของฮาร์ดแวร์ และโปรแกรมใช้งาน (Application Programs)
2.โปรแกรมระบบ (System Programs) คือ ส่วนของโปรแกรมการทำงานของระบบปฏิบัติการ ซึ่งมีหน้าที่ติดต่อกับผู้ใช้ และผู้จัดการระบบ เช่น Administrator

9.ในการจัดการกับโปรเซส ระบบปฏิบัติการจะมีกิจกรรมใดบ้างที่ต้องรับผิดชอบ
=การจัดการงานที่เราจะทำการประมวลผล ไม่ว่าจะเป็นการประมวลผลแบบการแบ่งเวลา หรืออื่นๆ โดยแต่ละโปรเซสจะมีการกำหนดการใช้ทรัพยากรที่แน่นอน

10.ในการจัดการกับหน่วยความจำ ระบบปฏิบัติการจะมีกิจกรรมใดบ้างที่ต้องรับผิดชอบ
=การจัดการหน่วยความจำจัดเป็นหน้าที่หนึ่งของระบบปฏิบัติการ หน่วยความจำนี้เป็นองค์ประกอบหนึ่งในการพิจารณาขีดความสามารถของเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วย  กล่าวคือถ้าหากคอมพิวเตอร์มีความจำมาก  นั้นหมายถึงขีดความสามารถในการทำงานก็จะเพิ่มขึ้นโปรแกรมที่มีสลับซับซ้อนและมีสมรรถนะสูง มักจะเป็นโปรแกรมที่ต้องการหน่วยความจำสูง แต่ก็เป็นที่ทราบแล้วว่าหน่วยความจำมีราคาแพง ดังนั้นระบบปฏิบัติการที่ดีจะต้องมีการจัดการหน่วยความจำที่มีอยู่จำกัด ให้สามารถรองรับงานต่างๆ ที่จำเป็นต้องใช้หน่วยความจำจำนวนมากได้

11.ในการจัดการกับแฟ้มข้อมูล ระบบปฏิบัติการจะมีกิจกรรมใดบ้างที่ต้องรับผิดชอบ
=เป็นการทำงานของระบบปฏิบัติการโดยทำหน้าที่ในการโอนถ่ายข้อมูลลงไปจัดเก็บในอุปกรณ์บันทึกข้อมูล

12.ในการจัดการกับอุปกรณ์อินพุต/เอาต์พุต ระบบปฏิบัติการจะมีกิจกรรมใดบ้างที่ต้องรับผิดชอบ
=ระบบปฏิบัติการมีหน้าที่ในการรับข้อมูล และแสดงข้อมูลผ่านทางอุปกรณ์ต่างๆ โดยข้อมูลที่ส่งไปยังอุปกรณ์เหล่านี้ จะผ่านสายส่งข้อมูล

13.ในการจัดการกับหน่วยความจำสำรอง เช่น ดิสก์ ระบบปฏิบัติการจะมีกิจกรรมใดบ้างที่ต้องรับผิดชอบ
=ระบบปฏิบัติการทำหน้าที่โอนถ่ายข้อมูลไปจัดเก็บในอุปกรณ์บันทึกข้อมูล

14.จงสรุปงานบริการของระบบปฏิบัติการมาพอเข้าใจ
=ระบบปฏิบัติการจะเป็นเหมือนตัวกลางที่เชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์กับผู้ใช้งาน จะรับข้อมูลทางเมาส์หรือคีย์บอร์ด จากนั้นจะส่งไปยัง CPU เพื่อให้ประมวลผลออกมา แสดงผลจะอยู่ในรูปของเสียงหรือภาพ

15.ในการติดต่อระหว่างโปรเซสกับระบบปฏิบัติการ จะเกี่ยวข้องกับกลุ่มงานใดบ้าง จงอธิบาย
=สถานะของโปรเซส (Process Status)ก็จะมี  สถานะเริ่มต้น (New Status) ,สถานะพร้อม (Ready Status) ,สถานะรัน (Running Status),สถานะรอ (Wait Status),สถานะบล็อก (Block Status)และสถานะสิ้นสุด (Terminate Status)

วันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

การเลือกใช้วินโดวส์XP ที่เหมาะสมในการทำงาน ลำดับและการติดตั้ง Driver ให้กับอุปกรณ์ต่าง ๆ


การเลือกใช้วินโดวส์XP ที่เหมาะสมในการทำงา

     วินโดวส์ล่าสุดอย่าง windows 7  กึ่ง Vista ใช้ทรัพยากรเครื่องมาก เครื่องเก่า เสป็คไม่ดีไม่ควรใช้

     จะวินโดวส์หรือว่าจะระบบอะไรก็มีข้อผิดพลาดเสมอ  แม้วินโดวส์แท้ๆก็ติดไวรัสได้เหมือนกัน ฉะนั้นก็อย่าคาดหวังมากนัก  เราต้อง back up ข้อมูลเป็นนิสัย รู้จักเลือกใช้สื่อบันทึก เข้าใจการทำงานของคอมพิวเตอร์  วินโดวส์จะเป็นอะไรก็ช่างมัน ลงใหม่ได้ครับ

Credit:Windowscare.in.thวิธีเลือกใช้วินโดวส์ให้โดนใจ

         วินโดวส์ xp ทั้งเวอร์ชั่นเดิมและเวอร์ชั่นปรับแต่ง รวมกันแล้วมีหลายสิบเวอร์ชั่น แต่ที่มีคุณภาพ ประสิทธิภาพจริงๆมีอยู่ไม่กี่เวอร์ชั่นครับ  ที่ได้รับการยอมรับที่สุดคือ เวอร์ชั่นดั้งเดิมจากไมโครซอฟต์ แต่เนื่องด้วยความต้องการที่มีอยู่อย่างหลากหลาย และอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ ถูกผลิตขึ้นมาใหม่แทบเดือนชนเดือนวินโดวส์ xp แบบดั้งเดิมตัวเดียวไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้ทั้งหมด  และซับพอตอุปกรณ์ทุกตัว วินโดวส์ปรับแต่งจึงเป็นอีกทางเลือกนึงที่น่าสนใจและจริงๆแล้วก็โดนใจ ใครหลายคน ทั้งผู้ใช้งานทั่วไปที่ไม่มีทักษะมาก และผู้ที่ชอบปรับแต่งคอมพิวเตอร์

        การปรับแต่งนั้นคือการทำให้ตอบสนองความต้องการมากขึ้น เช่น เร็วขึ้น ซับพอตอุปกรณ์ใหม่ๆ มากขึ้น  มีพลักอินที่เสริมการทำงานโดยที่เราไม่ต้องไปหาดาวโหลด หรือตั้งค่าให้ปวดเศียรเวียนเกล้าทุกครั้ง ที่ติดตั้งวินโดวส์ใหม่ ทั้งๆที่เราต้องใช้งานอยู่แล้ว แต่การปรับแต่งวินโดวส์ หรือ integrade นั้นทำให้สูญเสียประสิทธิภาพ และความเสถียรลงไปด้วย วินโดวส์เวอร์ชั่นปรับแต่ง จึงมีข้อผิดพลาดและมักใช้ไม่ได้นาน ต้องติดตั้งใหม่ แต่หากคุณชอบเรื่องการปรับแต่ง ก็มักชอบความแปลกใหม่ด้วย วินโดวส์ปรับแต่งจึงเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย  จนวินโดวส์แท้ เดิมๆนั้นแทบเลือนไปจากกระแส

     แต่ หากถามว่าวินโดวส์รุ่นใดดีที่สุด ตอบว่าวินโดวส์เวอร์ชั่นที่เหมาะกับการใช้งานของคุณมากที่สุดนั่นแหละครับ 
    ในบทความนี้ วินโดวส์แค่จะแนะนำวิธีเลือกซื้อ เลือกใช้งาน windows อย่างไรที่ท่านจะได้ประโยชน์ที่สุด ส่วนจะเป็นรุ่นไหนนั้น "คุณ" ต้องตอบเอง

เลือกใช้ windows เวอร์ชั่นไหนดี

       หากคุณชอบอะไรแปลกใหม่ชอบปรับแต่ง วินโดวส์ปรับแต่งสายพันธ์ใหม่ อย่าง Windows xp sp3 TrueFaster    เป็นเวอร์ชั่นที่น่าสนใจ

      หากคุณเป็นนักเซิฟ ใช้งานหลากหลาย เสาะแสวงหาโปรแกรมใหม่ๆมาทดลองใช้ คุณลักษณะพร้อมใช้งานของ window dark edition  V.7  ตอบโจทย์ได้ดี เนื่องจากมาพร้อมสรรพ ทั้งไดรเวอร์ ทั้งโปรแกรมและ features ใหม่ๆ  แบบ vista

      หากชอบความสมบูรณ์แบบ feature ใหม่หน้าตาเฉิดฉาย และเปี่ยมประสิทธิภาพ windows xp vortex vista นับว่ายอดนิยมในปี 2008 เนื่องจาก มีความสมบูรณ์มากแม้จะมีการปรับแต่ง นับว่าเป็นงานศัลยกรรมชิ้นเอก

      พอได้มาตราฐาน เวอร์ชั่นกลางๆ  Windows xp vienna   หรือ Windows xp 2006 v.9 ยังคงมีคนใช้งานอยู่ต่อเนื่องมีความเสถียร และทำงานว่องไว

      หากคุณไม่ค่อยใช้งาน เช่นคอมพิวเตอร์ที่มักจะรันโปรแกรมทิ้งไว้ คอมพิวเตอร์ใน lab สอนเด็กนักเรียน หรือเป็นแบบออฟไลน์     ไม่ได้ใช้งานอินเตอร์เน็ตเลย วินโดวส์เวอร์ชั่นเดิมเหมาะสมดี

      หากต้องการความถูกต้องมากๆ และรับประกันคุณภาพ แบบ professional  แนะนำให้แบบดั้งเดิม และเป็นของแท้ เพราะคุณจะได้  การ บริการพ่วงไปด้วย

      หากคุณมีลูกหลาน และคิดว่าการซื้อคอมพิวเตอร์ให้เป็นการลงทุนเพื่ออนาคตทีดี  แต่ราคาแพงเกินกว่าจะจ่ายได้   แนะนำวินโดวส์ mini ปรับแต่งอีกตัวที่เบามากๆ คอมพิวเตอร์เสป็คไม่แรง จะมือสองหรือของเก่าเก็บก็ใช้ได้


**ในส่วนตัวผมเองนอกจากปฏิบัติงานสอนแล้วแล้ว  ก็ประกอบคอมพิวเตอร์และแก้ไขคอมพิวเตอร์เป้นงานอดิเรก ลองและคัดสรรค์  เลือกใช้วินโดว์ XP ขณะนี้ 3 โปรแกรม...นั่นคือ
          -  WXPVOL_EN.iso              สวยติดตั้งนาน  บางครั้งมีปัญหาจอฟ้าครับ
-       window dark edition  V.7 [ใช้อยู่ ณ ขณะนี้]เลือกรูปแบบการติดตั้งหลายอย่างบางส่วนต้องไปแก้ขที่Font ให้เป็น tahoma ทั้งหมดครับ
-       MiniV2+.iso                    สำหรับเครื่องที่เสป็คต่ำครับ  ไม่ค่อยมีปัญหา


ลำดับและการติดตั้ง Driver ให้กับอุปกรณ์ต่าง ๆ
การติดตั้ง Driver ให้กับอุปกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งหากเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่มีอยู่เป็นแบบรุ่นเก่า ๆ อาจจะไม่ต้องทำอะไรเลยเพราะว่า Windows จะจัดการกับ Driver ต่าง ๆ ให้เรียบร้อยแล้ว หรือที่เรียกกันว่า Plug and Play นั่นแหละ แต่ถ้าหากอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้งานเป็นรุ่นใหม่ ก็ต้องมาทำการติดตั้ง Driver ของอุปกรณ์ต่าง ๆ เองเพื่อให้สามารถใช้งานอุปกรณ์เหล่านั้นได้สมบูรณ์








          การติดตั้ง Driver จะเริ่มจากไดร์เวอร์สำหรับเมนบอร์ดก่อน(ถ้ามี)  เนื่องจากเป็นตัวกลางหลักที่เชื่อมต่อไปยังอุปกรณ์ต่างๆอีกที  จึงต้องจัดการให้เรียบร้อยก่อน  ไดร์เวอร์สำหรับเมนบอร์ดนี้หมายรวมถึงไดร์เวอร์สำหรับอุปกรณ์พิเศษอื่นๆที่อยู่บนเมนบอร์ดด้วย  จากนั้นบู๊ตเครื่อง 1 ครั้งเพื่อให้ไดร์เวอร์ถูกโหลดและทำงานเสียก่อนค่อยติดตั้งไดร์เวอร์อื่นๆต่อไป
                        ลำดับถัดมาที่ควรติดตั้งคือ  ไดร์เวอร์การ์ดแสดงผล  ซึ่งเป็นไดร์เวอร์ที่จำเป็นรองจากเมนบอร์ด  หลังจากติดตั้งเสร็จ บู๊ตเครื่องและปรับค่าต่างๆของหน้าจอให้เรียบร้อย  แล้วจึงค่อยติดตั้งไดร์เวอร์อื่นต่อไป  โดนจะติดตั้งตัวไหนก่อนหลังอย่างไรก็ไม่มีปัญหา

          วิธีติดตั้งไดร์เวอร์
          สำหรับการติดตั้ง Driverสำหรับอุปกรณ์ต่างๆนั้น  อาจแบ่งวิธีติดตั้งได้ 3 วิธีแตกต่างกันในเรื่องขั้นตอนและโปรแกรมที่เกี่ยวข้อง คือ
1.     ให้ windows ตรวจสอบและค้นหาให้เองอัตโนมัติ
2.    ใช้โปรแกรมติดตั้งสำเร็จรูปที่ให้มาพร้อมกับอุปกรณ์ ซึ่งในปัจจุบันเป็นแผ่นซีดีหรือดีวีดี
3.    เรียกใช้ Add New Hardware Wizardช่วยในการติดตั้งไดร์เวอร์ให้กับอุปกรณ์




วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2556

คุณสมบัติของหน่วยความจำในระบบโครงสร้างคอมพิวเตอร์


หน่วยความจำมี 3 ประเภท ดังนี้

CACHE คือ หน่วยความจำขนาดเล็กที่มีความเร็วสูงซึ่งเก็บข้อมูล หรือคำสั่งที่ถูกเรียกใช้หรือเรียกใช้บ่อยๆ ข้อมูลและคำสั่งที่เก็บอยู่ใน CACHEซึ่งทำงานโดยใช้ SRAM (STATIC RAM) จะถูกดึงไปใช้งานได้เร็วกว่าการดึงข้อมูลจากหน่วยความจำหลัก (MAIN MEMORY)ซึ่งใช้DRAM (DYNAMIC RAM )หลายเท่าตัว


การทำงานของ CACHE เป็นขั้นตอนดังนี้
โปรแกรมที่ทำงานโดยผ่านหน่วยประมวลผลกลาง (CPU) ได้ทำการเรียกข้อมูลหรือรหัสที่ CPU จำเป็นต้องใช้ RAM cache ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวงจรหลักในเครื่องคอมพิวเตอร์ ได้รับสัญญานการเรียกข้อมูลในขณะที่คำสั่งการเรียกข้อมูลกำลังเดินทางไปยัง RAM และ cache จะทำการค้นหาข้อมูลจากRAM และส่งต่อข้อมูลไปยัง CPU ในการค้นหาข้อมูลครั้งแรกอาจจะใช้เวลานานโดยที่ตัว CPU ไม่สามารถทำงานอย่างอื่นได้ในเวลานั้น ในขั้นตอนการค้นหาข้อมูลนี้ cache จะทำการบันทึกข้อมูลที่ค้นพบไว้ใน high-speed memory chips ที่มีเฉพาะภายใน cache ในทันที่ cache ตรวจสอบพบว่า CPU ได้ทำงานเสร็จสิ้นและกำลังว่างอยู่ cache จะทำการค้นหาข้อมูลหรือรหัสของโปรแกรม ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับตำแหน่งของข้อมูลที่ทางโปรแกรมได้เรียกใช้ก่อนหน้านี้จาก memory address และจัดเก็บข้อมูลไว้ใน high-speed memory chips ครั้งต่อไปที่ทางโปรแกรมถามหาข้อมูลจากทางหน่วยประมวลผลกลาง(CPU) cacheจะตรวจสอบดูว่าข้อมูลที่โปรแกรมต้องการมีอยู่ใน high-speed memory chips แล้วหรือยัง ถ้ามีอยู่แล้ว cache จะส่งข้อมูลไปให้ CPUได้โดยไม่จำเป็นต้องผ่านหน่วยความจำหลักซึ่งมีการทำงานที่ช้ากว่ามาก ทำให้ CPU สามารถลดเวลาไร้ประสิทธิภาพ และทำงานได้มากขึ้น เมื่อ CPU ต้องการเปลี่ยนข้อมูลบางอย่างที่มีอยู่ในหน่วยความจำหลักอยู่แล้ว cache จะตรวจสอบดูก่อนว่าข้อมูลที่โปรแกรมต้องการจะเปลี่ยน มีการจัดเก็บอยู่ใน high-speed memory chips แล้วหรือยัง ถ้ามีอยู่แล้ว cache จะเปรียบเทียบข้อมูลที่มีอยู่เดิมกับข้อมูลใหม่ที่เปลี่ยนไป และจะส่งข้อมูลไปเฉพาะ memory address ใน หน่วยความจำหลัก ที่มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลจากข้อมูลเดิมใน high-speed memory chips ซึ่งจะเร็วกว่าการเปลี่ยนแปลงข้อมูลทั้งหมด 

Dynamic Ram เป็นหน่วยความจำชนิดหนึ่งของไมโครโปรเซสเซอร์ เหมือน Static Ram แต่ข้อมูลจะสูญหายไป เมื่อไม่มีไฟเลี้ยงวงจร
Dynamic Ram ซึ่งสร้างมาจาก CMOS ที่มีหลักการทำงาน เหมือนตัวประจุ เมื่อเวลาผ่านไป ข้อมูลจะสูญหายไปเอง แม้ว่าจะมีการจ่ายไฟเลี้ยงตลอดเวลา เนื่องจาก เกิดการรั่วไหลของประจุ ดังนั้นไมโครโปรเซสเซอร์จะต้องมีการ Refresh ข้อมูลตลอดเวลาการใช้งาน
 การเชื่อมโยง Z-80 เข้ากับ SRAM มีข้อดีคือ สามารถเชื่อมโยงได้ง่าย แต่จุดอ่อนของ RAM ประเภทนี้คือ มีขนาดความจุต่อหน่วยความจำต่ำ ถึงแม้ว่าในปัจจุบันเราจะสามารถทำให้มันมีขนาดความจุสูงขึ้นแล้วก็ตาม เช่นพวก CMOS RAM 6264 หรือ 62256 แต่ราคา SRAM ก็ยังแพงกว่า DRAM มาก ดังนั้น DRAM จึงสามารถที่จะประยุกต์ใช้ในระบบไมโครโปรเซสเซอร์ที่ต้องการหน่วยความจำที่มีขนาดความจุสูงๆได้ 

หน่วยความจำแบบสแตติกแรม
หน่วยความจำแบบสแตติกแรม
        เป็นแรมที่มีฟลิบฟลอบเป็นตัวเก็บข้อมูลภายในแต่ละบิต ดังนั้นข้อมูลที่เก็บอยู่ภายในสแตติกแรมจะไม่สญหายไปจนกระทั่งสแตติกแรมไม่ได้รับแรงดันไบอัสฟลิปฟลอปภายในสแตติกแรมมี 2 แบบ คือ แบบที่ใช้ไบโพล่าร์ทรานซิสเตอร์ และแบบที่ใช้มอสทรานซิสเตอร์ ซึ่งชนิดที่เป็นมอสทรานซิสเตอร์จะกินกำลังไฟฟ้าน้อยกว่าชนิดไบโพล่าร์ทรานซิสเตอร์

การทำงานของสแตติกแรม
        สแตติกแรมส่วนมากใช้ต่อภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ และต่อใช้งานโดยการควบคุมของซีพียู ในการอ่านหรือเขียนข้อมูลภายในสแตติกแรมจะใช้ความเร็วสูงมากซึ่งเท่ากับความเร็วซีพียู ดังนั้นการนำสแตติกแรมและชิปที่ใช้ควบคุมไปใช้ร่วมกับซีพียูใดๆ จะต้องศึกษาคู่มือของแรมให้ละเอียด เวลาการทำงานของสแตติกแรมแบ่งเป็นรอบการอ่านข้อมูลและรอบการเขียนข้อมูล